บทที่ 3
บรรทัดฐานระดับนานาชาติ สิ่งริเริ่ม และเครื่องมือ SR (International Norms, Initiatives and SR Tools)
ตอนที่ 3: เครื่องมือหลัก SR
4. เครื่องมือหลัก SR ที่มีความสำคัญในปัจจุบัน (Key SR instruments)
ในส่วนนี้ จะมุ่งเน้นกล่าวถึงประเภทของเครื่องมือหลัก SR ที่มีความสำคัญอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งประกอบไปด้วย
· แนวทางการปฏิบัติสำหรับวิสาหกิจข้ามชาติของ OECD (OECD Guidelines for Multinational Enterprises; MNES)
· การรวมกันเป็นกลุ่มก้อนในระดับโลก หรือสัญญาโลก (Global Compact; GC) ซึ่งถูกพัฒนาขึ้นมาภายใต้การอนุเคราะห์จากสำนักงานใหญ่ของเลขาธิการองค์การสหประชาชาติ
· มาตรฐาน ISO/SR 26000 ที่ปรากฏเป็นข้อแนะนำสำหรับการปฏิบัติงานด้าน SR ที่ถูกจัดทำหรือผ่านการยกร่างขึ้นมาโดยองค์การ ISO (International Organization for Standardization (ISO) Social Responsibility Guidance Standard) และกำลังอยู่ในช่วงของการพัฒนาให้เป็นมาตรฐานระดับนานาชาติได้ต่อไป และ
· การรายงานผลความยั่งยืนตามข้อแนะนำของ GRI (Global Reporting Initiative Sustainability Reporting Guidelines) เป็นต้น
สำหรับเหตุผลที่มีการคัดเลือก เพื่อนำเสนอรายละเอียดของเครื่องมือหลัก SR ทั้ง 4 ประเภทเหล่านี้ ประกอบไปด้วยเนื้อหาสำคัญที่ควรให้ความสนใจร่วมด้วยก็คือ 17/
1). เครื่องมือหลักเหล่านี้ ประกอบไปด้วยรายละเอียดของหลักการขั้นพื้นฐานที่รองรับไว้อย่างชัดเจน และปรากฏเป็น “สิ่งเกื้อหนุน (Complementary)” ที่มีความเหมาะสมต่อการนำไปใช้ปฏิบัติงานได้ต่อไป โดยเฉพาะรายละเอียดของหลักการเหล่านั้น ล้วนแสดงความเกี่ยวข้องกับ “การปรากฏออกมาเป็นมุมมองในระดับโลก (Global in perspective)” “การมีลักษณะและธรรมชาติในการเป็นเครื่องมือที่กระทำขึ้นมาด้วยความยินยอมสมัครใจอยู่เป็นส่วนใหญ่ (Voluntary in nature)” “การเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับรายละเอียดของการปฏิบัติงาน โดยอาศัยความร่วมมือมาจากกลุ่ม Stakeholders ต่างๆ อยู่ด้วยกัน (Multi-stakeholder in process)” และยังยึดถือขอบเขตของการปฏิบัติงาน ทั้งนี้เพื่อมุ่งหวังผลให้มีความสอดคล้องเป็นตรงตาม “หลักการของ Triple Bottom Line” โดยแสดงความครอบคลุมในรายละเอียดเข้ากับมิติของการพัฒนาแบบยั่งยืนทั้ง 3 ด้าน (ด้านสังคม สิ่งแวดล้อม และเศรษฐกิจ) ในเชิงลักษณะของการบูรณาการเข้าด้วยกัน มากกว่าการมุ่งเน้นลงไปที่รายละเอียดของเนื้อหาหลัก เช่น การปฏิบัติงานด้านแรงงาน เป็นต้น เพียงด้านใดด้านหนึ่งแต่เพียงประการเดียวเท่านั้น
2). เมื่อพิจาณาถึงรายละเอียดที่เกี่ยวข้องในเชิงผลของความเป็นไปได้ สำหรับการยอมรับที่อาจเกิดขึ้นมาได้ในระดับสูงนั้น รายละเอียดของ OECD MNE Guidelines และ Global Compact จะแสดงถึงสถานะของการเป็นเครื่องมือที่ถูกจัดทำ และผ่านการยกร่างขึ้นมา โดยอาศัยการมอบหมายอำนาจหน้าที่ในการดำเนินงานมาจากแหล่งของสถาบัน/ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างเป็นทางการ และรู้จักยอมรับในชื่อเสียงกันอย่างกว้างขวางโดยทั่วไป แต่ในขณะที่เครื่องมือทั้งสองประเภทในลำดับต่อมาก็คือ ISO และ GRI กลับถูกยอมรับเป็นขอบเขตที่กว้างขวางมากกว่า โดยเฉพาะมาจากผลการประชุมของภาครัฐบาลในระดับโลกเมื่อปี 2002 ซึ่งเรียกว่า การประชุมสุดยอด UN ที่ว่าด้วยการพัฒนาแบบยั่งยืน (UN World Summit on Sustainable Development) ซึ่งชาติต่างๆ ล้วนให้การสนับสนุน หรือแสดงการยอมรับในรายละเอียดความครบถ้วนสมบูรณ์ของเครื่องมือทั้งสองเหล่านั้นขึ้นมาได้โดยตรง
การประชุม Global Compact Leaders Summit ประจำปี 2010
3). เมื่อพิจารณาถึงรายละเอียดที่เกี่ยวข้องกับประวัติความเป็นมา ลักษณะความเชื่อมโยงในรายละเอียดของการปฏิบัติงานบางประการ ร่วมกับสิ่งที่ต้องการพัฒนาขึ้นมาสำหรับการเป็นประโยชน์ของเครื่องมือหลัก SR ในแต่ละประเภท ตั้งแต่ในปี 2005 ที่ผ่านมาจนถึงในปัจจุบัน จะพบผลของความน่าสนใจออกมาอีกร่วมด้วยว่า
· ISO มีกระบวนการในการพัฒนาความเป็นมาตรฐานระดับนานาชาติสำหรับเรื่อง SR ดังกล่าวเกิดขึ้นมาในปี 2005 โดยอาศัยวิธีการทำงานมาจากกลุ่มผู้ปฏิบัติงาน (ISO Working Group on Social Responsibility) ได้เข้ามาทำหน้าที่เป็นผู้พัฒนา หรือยกร่างรายละเอียดออกมาตามลำดับ ทั้งนี้เพื่อมุ่งเน้นในการเป็นเพียงข้อแนะนำแต่เพียงประการเดียวเท่านั้น สำหรับการจัดตั้งหรือดำเนินงานด้าน SR ขึ้นมาภายในองค์การ แต่ไม่มีวัตถุประสงค์หลักในเรื่องการแสดงความต้องการสำหรับการยื่นขอจดทะเบียนรับรองผลการปฏิบัติงานขึ้นมาแต่ประการใดทั้งสิ้น ซึ่งในระยะต่อมารู้จักเรียกชื่อกันเป็นอย่างดีว่า เป็นมาตรฐาน ISO 26000 โดยทั้งนี้รายละอียดของมาตรฐานฉบับดังกล่าว จะทำหน้าที่เป็นตัวเสริม หรือช่วยกระตุ้นสำหรับการปฏิบัติงานในลักษณะอื่นๆ ขึ้นมาอีกร่วมด้วย หรือการปรากฏเป็นโอกาสที่ดีเป็นอย่างยิ่งสำหรับการจัดตั้งมาตรฐาน ISO ฉบับอื่นๆ ขึ้นมาก่อนแล้วเป็นการล่วงหน้าภายในองค์การแห่งนั้นก็ได้อีกเช่นกัน และเท่าที่รับทราบผลความสำเร็จได้เป็นอย่างดีก็คือ มาตรฐาน ISO 9000 และ ISO 14000 ซึ่งแสดงความเกี่ยวข้องอยู่กับระบบของการจัดการคุณภาพ และสิ่งแวดล้อมสำหรับองค์การเป็นเรื่องสำคัญ
· GRI เริ่มต้นดำเนินงานขึ้นมาในเดือนตุลาคม ปี 2006 ทั้งนี้มีวัตถุประสงค์หลัก ก็เพื่อต้องการก่อให้เกิดผลของการพัฒนา หรือการจัดทำออกมาเป็นรายละเอียดของ “ข้อแนะนำบางประการ เพื่อใช้ประโยชน์สำหรับการจัดทำรายงานแบบยั่งยืน (Sustainability Reporting Guidelines)” ออกมาได้ต่อไป เพราะฉะนั้นการยึดถืออยู่บนพื้นฐานของข้อแนะนำดังกล่าว รวมถึงยังเปิดโอกาสให้มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลง/ เพิ่มเติมรายละเอียดของข้อแนะนำเหล่านี้ ให้มีความสอดคล้องเป็นไปตามช่วงระยะเวลาอีกด้วยเช่นนั้น จึงเท่ากับเป็นการเพิ่มเติมโอกาสที่ดีขึ้นมาสำหรับองค์การแห่งนั้น จะสามารถทำการทบทวน หรือสำรวจรายละเอียดเบื้องต้นได้ว่า มีการปฏิบัติงานในลักษณะที่เกี่ยวเนื่องกับเครื่องมือ SR ประเภทอื่นๆ อยู่หรือไม่ภายในองค์การของตนเอง และมีสภาพที่แท้จริงเกิดขึ้นเป็นอย่างไร และในขณะเดียวกันรายละเอียดของ GRI เช่นนั้น ยังสามารถช่วยยกระดับ หรือทำการเพิ่มเติมระดับความสมบูรณ์ของการปรากฏเป็นบรรทัดฐานที่ดีขึ้นมาได้หรือไม่อีกร่วมด้วย โดยเฉพาะเมื่อมีการถูกระบุ หรือชี้แนะไว้แล้วอยู่ภายในรายละเอียดของ OECD Guidelines และ Global Compact เป็นส่วนใหญ่
รายละเอียดที่แสดงไว้ภายในตารางข้างล่างนี้ จะทำการสรุปออกมาให้เห็นเป็นภาพรวมทั้งหมดในแต่ละด้านที่มีความสำคัญสำหรับเครื่องมือหลัก SR ทั้ง 4 ประเภท โดยต้องการระบุชี้บ่งให้เห็นถึงจุดแข็ง จุดอ่อน และความเป็นไปได้ของการแสดงศักยภาพในการปรากฏออกมาเป็นเครื่องมือ SR ที่เหมาะสมได้ต่อไป กล่าวคือ
4.1 OECD MNE Guidelines 18/ · สถาบัน/ หน่วยงาน (Institution): องค์การว่าด้วยความร่วมมือทางเศรษฐกิจ และการพัฒนา (OECD) ประกอบด้วยสมาชิกที่มาจากองค์การระหว่างภาครัฐบาลต่างๆ ด้วยกัน เป็นจำนวนทั้งหมด 30 ราย โดยทำหน้าที่หลักในการสนับสนุนรัฐบาลที่เป็นประชาธิปไตย และช่วยส่งเสริมต่อสภาพเศรษฐกิจที่ยึดถืออยู่บนพื้นฐานทางการตลาดเป็นสำคัญ สำหรับการปฏิบัติงานดังกล่าว ยังครอบคลุมรายละเอียดไปถึงประเด็นต่างๆ ทั้งทางเศรษฐกิจและสังคม หรือจากระดับมหภาคไปสู่การค้า การศึกษา การพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์ และนวัตกรรม เป็นต้น โดยทั้งนี้ได้อาศัยผ่านช่องทางของการทำงานในรูปแบบของคณะกรรมการที่เรียกว่า Business and Industry Advisory Committee (BIAC) และ Trade Union Advisory Committee (TUAC) ตามลำดับ นอกจากนี้ยังมีการเชื่อมต่อความสัมพันธ์เข้ากับหน่วยงาน ภาค/ ส่วนต่างๆ ทั้งทางธุรกิจ แรงงาน และ NGO อีกด้วย · ประเภทเครื่องมือ (Instrument): ข้อแนะนำที่เรียกว่า OECD Guidelines for Multinational Enterprises (MNEs) ประกอบไปด้วยชุดของรายละเอียดที่ปรากฏเป็นคำแนะนำในเรื่องต่างๆ ที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการดำเนินงานของวิสาหกิจข้ามชาติ (Multinational enterprises) โดยเฉพาะการมุ่งหวังความต้องการ เพื่อแสดงถึงคุณลักษณะของการเป็น “บรรษัทของความเป็นพลเมือง (Corporate citizenship)” ที่ดีขึ้นมาในแต่ละรายละเอียดที่เกี่ยวข้องอยู่โดยตรง เช่น การจ้างงานและการรักษาความสัมพันธ์สำหรับการปฏิบัติงาน สิทธิมนุษยชน สิ่งแวดล้อม การเปิดเผยและสื่อสารสารสนเทศ การต่อต้านการให้สินบน การรักษาผลประโยชน์สำหรับผู้บริโภค การแข่งขันอย่างเป็นธรรม และระบบการเรียบเก็บภาษี เป็นต้น เพราะฉะนั้นวัตถุประสงค์ของข้อแนะนำดังกล่าว จึงต้องการก่อให้เกิดสภาพที่สมดุลขึ้นมาระหว่างรายละเอียดที่ต้องปฏิบัติตามหัวข้อกำหนดเหล่านั้นเป็นหลัก และในที่สุดจะช่วยสร้างคุณค่าขึ้นมาร่วมกัน นอกจากนี้การปฏิบัติดังกล่าว ยังเป็นตัวกระตุ้นทำให้วิสาหกิจข้ามชาติเหล่านั้น ต้องทำหน้าที่แบ่งปัน/ สนับสนุนหรือช่วยเหลือต่อการสร้างความก้าวหน้าทั้งทางเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และสังคมขึ้นมาได้เป็นประการสุดท้าย |
· กระบวนการพัฒนาเครื่องมือ (Process of development): ภายใต้การอุปถัมภ์และช่วยเหลือจาก OECD รายละเอียดของข้อแนะนำดังกล่าว จึงได้เริ่มต้นถูกพัฒนาขึ้นมาเป็นครั้งแรกในปี 1976 และมีการปรับแก้ไขในรายละเอียดให้มีความทันสมัยเพิ่มมากยิ่งขึ้นในปี 2000 ทั้งนี้ยังปรากฏอีกว่า รายละเอียดข้อแนะนำดังกล่าว ได้ถูกนำไปใช้เป็นเครื่องมือส่วนหนึ่งสำหรับการกระตุ้น เพื่อก่อให้เกิดการลงทุนขึ้นมาโดยตรงจาก OECD ได้อีกด้วย นอกจากนี้รายละเอียดในข้อแนะนำดังกล่าว ยังถูกพัฒนาขึ้นมาโดยอาศัยการเข้ามามีส่วนร่วมจากองค์การ NGO ทั้งหลายที่ทำงานอยู่ในระดับสากล เช่น BIAC และ TUAC เป็นต้น ซึ่งนอกเหนือออกไปจากประเทศสมาชิกจำนวน 30 แห่ง ได้แสดงเจตจำนงค์อย่างเด่นชัดขึ้นมาต่อการเข้าร่วมงานกัย OECD แล้วนั้น ยังมีจำนวนอีก 9 ประเทศที่ไม่ใช่ประเทศสมาชิก ก็ต้องการเข้าร่วมต่อการปฏิบัติงานพัฒนาเครื่องมือดังกล่าวอีกด้วย ซึ่งได้แก่ ประเทศอาร์เจนตินาร์ บราซิล ชิลี เอสโทเนีย อิสราเอง แลทเวีย ลิธัวเนีย โรมาเนีย และสโลวาเนีย เป็นต้น · เครื่องมือสามารถทำงานได้อย่างไร (How they work): การจัดตั้งหรือดำเนินการปฏิบัติ เพื่อให้เป็นไปตามรายละเอียดข้อแนะนำของเครื่องมือดังกล่าว จะเกี่ยวข้องกับการประสานตัวเข้าด้วยกันระหว่างในเรื่องของการแสดงผลการผูกมัดเข้ากับตามหัวข้อกำหนดเหล่านั้น โดยอาศัยพื้นฐานของการทำงานด้วยความสมัครใจเป็นส่วนใหญ หรืออาจยึดถือการปฏิบัติมาจากรายละเอียดอื่นๆ ที่ปรากฏออกมาเป็นส่วนเสริมจากภาครัฐบาลร่วมด้วยก็ได้อีกเช่นกัน แต่อย่างไรก็ตามรายละเอียดของข้อแนะนำจากเครื่องมือประเภทนี้ สามารถร้องขอ เพื่อนำมาใช้ประโยชน์ได้โดยตรง และไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ ให้กับ OECD ทั้งสิ้น · การเชื่อมโยงของเครื่องมือเข้ากับภาค/ ส่วนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง (Links): รายละเอียดข้อแนะนำดังกล่าว ปรากฏถูกยอมรับออกมาอย่างเป็นทางการจากผลการประชุมในระดับรัฐมนตรีของ OECD และการประชุมของกลุ่ม G8 อีกด้วย นอกจากนี้รายละเอียดข้อแนะนำเช่นนี้ ยังระบุไปถึงแหล่งอ้างอิงที่เกี่ยวข้องกับประเภทต่างๆ ของเครื่องมือ ที่ทำหน้าที่เป็นบรรทัดฐานในระดับนานาชาติเพิ่มเติมขึ้นมา หรือบางครั้งอาจทำการอ้างอิงข้ามไปถึงรายละอียดต่างๆ ที่ระบุไว้ภายใน Global Compact และ GRI ได้เป็นอย่างดี |
ในมุมมองของผู้เขียนนั้น รายละเอียดของแนวทางปฏิบัติ/ ข้อแนะนำ OECD MNE Guidelines ย่อมประกอบไปด้วยจุดแข็ง จุดอ่อน และศักยภาพสำหรับการแสดงคุณค่าที่เป็นประโยชน์ของเครื่องมือ ซึ่งควรให้ความสนใจร่วมด้วย ก็คือ 1). จุดแข็ง (Strengths) - มีการเปิดโอกาสให้ได้พบปะหารือ สนทนาหรือเข้ามาร่วมประชุมกันอย่างเป็นทางการ ทั้งในภาครัฐบาล และภาคเอกชน ที่มีส่วนต่อการแสดงความรับผิดชอบร่วมกันต่อการพัฒนาขึ้นมาของเครื่องมือเช่นนั้นอยู่โดยตรง - ประกอบไปด้วยรายละเอียดที่เป็นข้อแนะนำ ซึ่งครอบคลุม ทั้งประเด็นด้านแรงงาน สิ่งแวดล้อม และประเด็นอื่นๆ อีกด้วย - ยึดถือรายละเอียดอยู่บนพื้นฐานของแนวความคิดของการปฏิบัติงานด้วยความสมัครใจ โดยต้องมีความยืดหยุ่นอย่างเหมาะสมเข้ากับการปฏิบัติงานของธุรกิจ และกลุ่ม Stakeholders ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องอยู่ตามลำดับ - มีผลของการแสดงการผูกมัดความรับผิดชอบเข้ากับรายละเอียด ที่เป็นข้อกำหนดจากภาครัฐบาล รวมถึงมีผลของการถูกยอมรับขึ้นมาภายในขอบเขตที่กว้างขวางของแต่ละประเทศ และการเปิดโอกาสให้เข้ามามีส่วนร่วมจากหน่วยงาน/ องค์การ NGO ต่างๆ ในระดับสากล เช่น BIAC, TUAC เป็นต้น - มีกลไกที่ใช้ประโยชน์สำหรับการทบทวนผลการปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงคำร้องเรียนต่างๆ โดยผ่านช่องทางการสื่อสารขององค์การได้อย่างเหมาะสม 2). จุดอ่อน (Weakness) - มีรายละเอียดบางประการที่อยู่ภายในข้อแนะนำดังกล่าว ไม่ครอบคลุมถึงประเด็นหรือเนื้อหาหลักต่างๆ ที่ควรให้ความสนใจร่วมด้วยในปัจจุบัน เช่น เรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate change) เป็นต้น - บางครั้งอาจมีความไม่สม่ำเสมอต่อการนำไปใช้ประโยชน์ โดยเฉพาะการขาดหลักฐานหรือข้อมูลประกอบ เพื่อช่วยยืนยันผลการพิจารณาตัดสินใจสำหรับการประยุกต์ใช้ประโยชน์ขึ้นมาในระดับองค์การได้อย่างเหมาะสมต่อไป - สถานภาพของเครื่องมือหรือข้อแนะนำดังกล่าว ยังไม่อาจปรากฏอยู่บนพื้นฐานของประเภทที่อาจยอมรับนับถือกันโดยทั่วไปทางด้านการตลาด (เมื่อเปรียบเทียบในทางตรงกันข้ามกับมาตรฐาน ISO 14000 และ GRI ซึ่งมีการถูกพัฒนาขึ้นมา เพื่อมุ่งหวังผลสำหรับการตอบสนองกับความต้องการด้านการตลาด หรือในเรื่องของความสำคัญต่อการยื่นจดทะเบียนเพื่อขอรับรองผลจากใบประกาศนียบัตรอยู่เป็นส่วนใหญ่) 3). ศักยภาพ (Potential) สำหรับการแสดงคุณค่าที่เป็นประโยชน์ของเครื่องมือ: - มีการแสดงผลของการผูกมัด และถูกนำไปใช้ประโยชน์กันอย่างกว้างขวางเป็นจำนวนที่เพิ่มมากขึ้นตามลำดับ โดยเฉพาะที่มาจากแหล่งของชาติหรือประเทศที่ไม่ใช่สมาชิกของ OECD เป็นส่วนใหญ่ - สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างครอบคลุม และกว้างขวางมากกว่าการจำกัดอยู่เพียงเฉพาะการเป็นบริษัทหรือวิสาหกิจข้ามชาติขนาดใหญ่เท่านั้น โดยทั้งนี้ยังสามารถใช้ประโยชน์สำหรับวิสาหกิจขนาดกลาง และขนาดเล็ก (Small and Medium-Sized Enterprises) หรือองค์การประเภทต่างๆโดยทั่วไป - สามารถถูกนำไปใช้ประโยชน์ เพื่อเพิ่มผลของความผูกมัดเข้ากับกลุ่ม Stakeholders ต่างๆ ในระดับโลกได้ รวมถึงเพื่อก่อให้เกิดการสร้างความตระหนักต่อการแสดงบทบาท และการรักษาความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นมาระหว่างเครื่องมือ SR ประเภทอื่นๆ ได้อีกด้วย |
จากรายงานการสำรวจของธนาคารโลก/ IFC ที่ดำเนินการขึ้นมาในปี 2003 โดยสอบถามทัศนคติจากผู้นำภาคธุรกิจของบริษัทต่างๆ เป็นจำนวน 107 แห่ง เกี่ยวกับศักยภาพและความเหมาะสมของมาตรฐาน/ เครื่องมือด้าน SR 4 ประเภทที่ทำการศึกษา ซึ่งสมควรนำไปใช้ประโยชน์ได้ต่อไปอย่างมีคุณค่าสำหรับองค์การแต่ละแห่งนั้น ประมาณ 22% ของผู้ตอบ ระบุออกมาอย่างเด่นชัดว่า เครื่องมือ/ ข้อแนะนำประเภท OECD MNE Guidelines มีความเหมาะสมเป็นลำดับสุดท้าย สำหรับการปฏิบัติงานทางธุรกิจ หรือการนำไปใช้ประโยชน์เพื่อเสริมสร้างศักยภาพของการแข่งขันในลักษณะของการพัฒนาแบบยั่งยืนระดับโลก (Global sustainable business) ได้ต่อไป |
4.2 Global Compact (GC) 19/ · สถาบัน/ หน่วยงาน (Institution): รายละเอียดของ GC ดังกล่าว เกิดขึ้นมาจากการปฏิบัติงานของสำนักงาน Global Compact Office (GCO) ซึ่งอยู่ภายใต้อำนาจหน้าที่ในการดูแลจากเลขาธิการใหญ่ องค์การสหประชาชาติ · ประเภทเครื่องมือ (Instrument): รายละเอียดของ GC ได้ระบุถึง “หลักการสากล (Universal principles')” 10 ประการ ซึ่งสามารถจำแนกออกได้เป็น 4 เรื่องที่สำคัญ คือ สิทธิมนุษยชน มาตรฐานแรงงาน การปกป้องคุ้มครองสิ่งแวดล้อม และการต่อต้านคอร์รัปชั่น เป็นต้น ทั้งนี้หลักการดังกล่าว ได้ถูกพัฒนาหรือดัดแปลงขึ้นมาจากผลของการประชุมในระดับนานาชาติ หรือคำประกาศที่เกี่ยวข้องต่างๆ ซึ่งครอบคลุมรายละเอียดถึงเรื่อง ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน (Universal Declaration of Human Rights) ปฏิญญา ILO ว่าด้วยหลักการขั้นพื้นฐานและสิทธิ ในการทำงาน (ILO Declaration on Fundamental Principles and Rights at Work) ปฏิญญาริโอว่าด้วยสิ่งแวดล้อมและการพัฒนา (Rio Declaration on Environment and Development) และอนุสัญญา UN ว่าด้วยการต่อต้านคอร์รัปชั่น (UN Convention Against Corruption) ฯลฯ จากผลที่มุ่งเน้นการปฏิบัติ และลักษณะของการเรียนรู้ร่วมกันเช่นนั้น GC ยังได้พยายามส่งเสริมหรือกระตุ้น เพื่อให้เครื่องมือดังกล่าว ปรากฏออกมาในรูปแบบการเรียนรู้ และการปฏิบัติงานต่างๆ ที่ดำเนินเป็นไปด้วยความยินยอมหรือสมัครใจด้วยตนเองเป็นหลัก ซึ่งในที่สุดสามารถนำไปสู่สภาพของการเป็น “บรรษัทในด้านความเป็นพลเมืองที่ดี (Corporate citizenship)” ให้เกิดผลขึ้นมาเป็นรูปธรรมได้ต่อไป โดยเฉพาะจะมีการมุ่งเน้นรายละเอียด หรือก่อให้เกิดการเอื้ออำนวยสำหรับการทำงาน หรือแสดงความเป็นหุ้นส่วนร่วมกับกลุ่ม Stakeholders ต่างๆ ที่อยู่ภายในพื้นที่หรือสังคมแห่งนั้น รวมไปถึงการบูรณาการหลักการทั้ง 10 ประการ ให้เข้าไปสู่ภาคส่วนต่างๆ ของการปฏิบัติงานภายในองค์การแห่งนั้น อย่างได้ผลที่ดีขึ้นมาตามลำดับอีกด้วย · กระบวนการพัฒนาเครื่องมือ (Process of development): GC เริ่มต้นจากการที่นายโคฟี่ อันนัม (Kofi Annan) เลขาธิการใหญ่องค์การสหประชาชาติ ได้กล่าวรายละเอียดสุนทรพจน์ต่อการเสวนาเศรษฐกิจโลก (World Economic Forum) ในปี 1999 ประกอบกับได้รับการสนับสนุนเพิ่มเติมขึ้นมาจาก GCO ซึ่งมีสถานะเป็นสำนักงานที่ทำหน้าที่ด้านงานธุรการ และปรากฏสถานที่ตั้งอยู่ในพื้นที่เดียวกันกับสำนักงานใหญ่ที่นิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยที่สำนักงาน GC ได้เริ่มต้นปฏิบัติงานในลักษณะที่เป็นการรวมตัวเข้าด้วยกันเป็นกลุ่มก้อนของคณะทำงาน โดยอาศัยตัวแทนมาจากองค์การภาครัฐบาล ตัวแทนที่ถูกส่งเข้ามาร่วมจากภาคธุรกิจ แรงงาน และภาค NGO ต่างๆ และรายละเอียดที่น่าสนใจอีกประการหนึ่งคือ ยังมีหน่วยงานอื่นๆ ของ UN อีก 6 หน่วยงาน ได้เข้ามามีส่วนร่วมต่อการปฏิบัติงานในครั้งนี้อีกด้วย ได้แก่ สำนักงานใหญ่คณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชน (Office of the High Commissioner for Human Rights) โครงการสิ่งแวดล้อมสหประชาชาติ (UN Environment Program) องค์การแรงงานระหว่างประเทศ (International Labor Organization) โครงการว่าด้วยการพัฒนาของสหประชาชาติ (UN Development Program) องค์การว่าด้วยการพัฒนาอุตสาหกรรมของสหประชาชาติ (UN Industrial Development Organization) และสำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญกรรมของสหประชาชาติ (UN Office on Drugs and Crime) เป็นต้น |
เลขาธิการใหญ่องค์การสหประชาชาติ (UN) และสำนักงาน GCO ต่างแสดงบทบาทที่สำคัญต่อการกำหนดรายละเอียดของ GC
· เครื่องมือสามารถทำงานได้อย่างไร (How it works): GC มีสถานะเป็นเครื่องมือ หรือสิ่งริเริ่มที่ยึดถืออยู่บนพื้นฐานของความสมัครใจในการทำงานร่วมกันในลักษณะเป็นแบบเครือข่าย (Network) เพราะฉะนั้นระบบของการปฏิบัติงานดังกล่าว จึงประกอบไปด้วยสภาพความเป็นตัวแทนที่มาจากหน่วยงานต่างๆ ของ UN จากภาคธุรกิจ สมาคมวิชาชีพต่างๆ ภาคแรงงาน และ NGO และยังประกอบไปด้วยเครือข่ายในระดับท้องถิ่นเพิ่มเติมอีกมากว่า 40 แห่งขึ้นไป ได้เข้ามามีส่วนร่วมด้วยในการปฏิบัติงาน นอกจากนี้ยังเปิดโอกาสให้บริษัท/ ภาคเอกชนต่างๆ ที่มีความปรารถนาต้องการเข้ามามีส่วนร่วมในเครือข่ายเหล่านั้น จะต้องแสดงจุดมุ่งหมายในการสนับสนุนต่อหลักการ GC ทั้ง 10 ประการ โดยอาศัยการลงนามใน “จดหมายเพื่อแสดงเจตนารมณ์ (Letter of Intent; LOI)” ในระดับผู้บริหารสูงสุด หรือ CEO ขององค์การแห่งนั้น โดยกล่าวว่า จะต้องสนับสนุน หรือช่วยเหลือเพื่อก่อให้เกิดความก้าวหน้าขึ้นมาได้อย่างไรสำหรับการปฏิบัติงานตามหลักการ GC ดังกล่าวขึ้นมาในแต่ละวัน นอกจากนี้ผู้เข้าร่วมเหล่านั้น ยังจำเป็นต้องทำการสื่อสารผลของความก้าวหน้าต่อการสนับนุน หรือกระตุ้นให้เกิดการปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมขึ้นมาตามหลักการ GC ได้อีกด้วย ในปัจจุบันจะพบได้ว่า มีจำนวนมากว่า 2,000 รายชื่อบริษัทต่างๆ ทั่วโลก ที่ได้เข้าร่วมลงนาม เพื่อยึดถือการปฏิบัติงานที่อยู่ภายใต้รายละเอียดตามข้อกำหนดของ GC เช่นนี้แล้วเป็นสำคัญ เครือข่ายของ GC Networks ที่แพร่กระจายอยู่ในส่วนต่างๆ ของโลก · การเชื่อมโยงของเครื่องมือเข้ากับภาค/ ส่วนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง (Links): ถึงแม้ว่ารายละเอียดของ GC จะมีผลของความเป็นอิสระเป็นอย่างสูง ในเรื่องที่ไม่ต้องการบังคับ หรือกำหนดว่าต้องปฏิบัติงานให้สอดคล้องเป็นไปเช่นเดียวกับลักษณะของเครื่องมือประเภทอื่นๆ แต่ทั้งนี้ GC ก็ยังปรากฏผลว่า เป็นเรื่องที่ถูกยอมรับขึ้นมาจากการประชุมใหญ่ของสหประชาชาติในปี 2003 และ 2005 ตามลำดับ นอกจากนี้รายละเอียดของการปฏิบัติดังกล่าว ยังมีการปรับปรุง และพัฒนาให้มีความสอดคล้องเป็นไปในทิศทางเดียวกับรายละเอียดของเครื่องมือประเภทอื่นๆ เช่น GRI (2003) และ OECD Guidelines (2005) อีกด้วย ในปี 2004 นายโคฟี่ อันนัม ยังได้ทำการกระตุ้นให้องค์การ ISO นำรายละเอียดที่เกี่ยวข้องตามหลักการ GC เช่นนี้ ไปเป็นองค์ประกอบพื้นฐานบางประการสำหรับการพัฒนาให้เป็นมาตรฐานนานาชาติสำหรับการปฏิบัติงานด้าน SR ได้ต่อไป ในมุมมองของผู้เขียนเห็นว่า รายละเอียดของ GC ดังกล่าว ประกอบไปด้วยจุดแข็ง จุดอ่อน และศักยภาพสำหรับการแสดงคุณค่าที่เป็นประโยชน์ออกมาของเครื่องมือ ดังนี้ 1). จุดแข็ง (Strengths): - ปรากฏมุมมองอยู่ในระดับโลก และสอดคล้องเป็นไปตามขอบเขตอำนาจหน้าที่ของ UN ที่ต้องยึดถือปฏิบัติเป็นหลัก - มุ่งเน้นเนื้อหาหลักที่เกี่ยวข้องลงไปในรายละเอียดของเรื่องสิทธิมนุษยชน สิ่งแวดล้อม การปฏิบัติด้านแรงงาน และการต่อต้านคอร์รัปชั่นเป็นส่วนใหญ่ - ประกอบด้วยโครงสร้างของการทำงานร่วมกันในลักษณะที่มาจากกลุ่ม Stakeholders ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องอยู่โดยตรง รวมถึงอาศัยการเข้ามามีส่วนร่วมจากหน่วยงานหลักของ UN ภาคธุรกิจ ภาคแรงงาน NGO และเครือข่ายต่างๆ ที่รวมตัวกันขึ้นมาในระดับชาติ - อาศัยแนวความคิดของการเรียนรู้ร่วมกัน จึงก่อให้เกิดมุมมองที่กว้างขวางและแตกต่างออกไป รวมถึงยังเป็นการสร้างโอกาสที่ดีขึ้นมาจากการแลกเปลี่ยนประสบการณ์การทำงานร่วมกันสำหรับการดำเนินงานตามหลักการ GC ที่กำหนดไว้ทุกประการ - มีการรายงานผลความก้าวหน้า หรือการสื่อสารผลการปฏิบัติงาน ซึ่งถือเป็นเรื่องสำคัญ และปรากฏเป็นหัวข้อกำหนดที่สำคัญประการหนึ่งที่ระบุไว้ภายใน GC อย่างเด่นชัด 2). จุดอ่อน (Weakness): - รายละเอียด GC ส่วนใหญ่ถูกจำกัดอยู่เพียงต้องกระทำขึ้นมา เพื่อให้แสดงความสอดคล้องเป็นไปตรงตามหลักเกณฑ์สากล 10 ประการเท่านั้น แต่ไม่มีการกล่างอ้างถึงประเด็นอื่นๆ ที่สำคัญ และมีความเกี่ยวข้องกับ SR อยู่ร่วมด้วยเป็นการเพิ่มเติมขึ้นมา เช่น ระบบภาษี ธรรมาภิบาล การปกป้องคุ้มครองผู้บริโภค เป็นต้น - ยังขาดการระบุ/ ชี้บ่งถึงกลไกที่สำคัญประการอื่นๆ ที่มีความเกี่ยวข้องกับการจัดตั้งหรือดำเนินงานด้าน SR ขึ้นมาให้เห็นผลอย่างเป็นรูปธรรม โดยต้องมีรายละเอียดที่อยู่นอกเหนืออกไปจากการใช้รายงานผลการปฏิบัติแต่เพียงประการเดียวเท่านั้น เหมือนดังเช่นที่กระทำอยู่ตามรายละเอียดของ GC ในปัจจุบัน 3). ศักยภาพ (Potential) สำหรับการแสดงคุณค่าที่เป็นประโยชน์ของเครื่องมือ: - เป็นเครื่องมือที่ครอบคลุมรายละเอียด SR ต่างๆ เป็นไปอย่างกว้างขวาง ซึ่งสามารถนำไปใช้ประโยชน์เพื่อการจัดตั้ง และก่อให้เกิดการสร้างบรรทัดฐานด้าน SR ขึ้นมาได้ (โดยมีการยอมรับจากหน่วยงานต่างๆ ของ UN) ทั้งในระดับภาคเอกชน ภาครัฐบาล และภาคประชาสังคม ออกมาอย่างเห็นผลเป็นรูปธรรม - เป็นการเพิ่มเติมระดับคุณภาพในภาพรวมขึ้นมาสำหรับการดำเนินงานด้าน SR ต่างๆ และก่อให้เกิดความเป็นหุ้นส่วนที่ดีขึ้นมาอย่างแพร่หลายอยู่ในระดับโลกได้อีกด้วย |
จากรายงานการสำรวจของธนาคารโลก/ IFC ที่ดำเนินการขึ้นมาในปี 2003 อีกเช่นกัน ได้ระบุผลออกมาอย่างชัดเจนประการหนึ่งว่า ประมาณ 33% ของผู้ตอบรายละเอียดทั้งหมด ได้ระบุถึงความสำคัญของเครื่องมือ GC ซึ่งอาจปรากฏไปเป็นมาตรฐาน CSR นั้น จัดเป็นลำดับที่สามสำหรับการถูกยอมรับในลักษณะที่ว่า เป็นเครื่องมือที่มีความเหมาะสมสำหรับการนำไปใช้ประโยชน์ทางธุรกิจได้โดยตรงต่อไป |
4.3 มาตรฐาน ISO/SR 26000 - ข้อแนะนำสำหรับการปฏิบัติงานด้าน SR (International Organization for Standardization ISO 26000 Social Responsibility Guidance Standard) 20/· สถาบัน/ หน่วยงาน (Institution): ISO เป็นองค์การที่ไม่ใช่ภาครัฐบาล ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่เจนีวา ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ทั้งนี้ประกอบด้วยประเทศสมาชิกที่มาจากสถาบัน/ หน่วยงานต่างๆ ที่ทำหน้าที่ด้านมาตรฐานจำนวน 157 ชาติ เพราะฉะนั้นจึงแสดงบทบาทสำคัญในด้านเป็นผู้นำของมาตรฐานระดับโลกดังเช่นในปัจจุบัน จากผลของการกำเนิดและถูกจัดตั้งขึ้นมาตั้งแต่ปี 1947 องค์การ ISO ได้ดำเนินการยกร่าง และจัดพิมพ์มาตรฐานในระดับนานาชาติขึ้นมาไม่น้อยกว่า 16,000 ฉบับแล้ว โดยครอบคลุมรายละเอียดภายใต้หัวข้อเรื่อง/ ประเด็นที่หลากหลาย ตั้งแต่เรื่องการเกษตร การก่อสร้าง และลงไปสู่งานที่จำเพาะทางด้านวิศวกรรม เครื่องกลหรือเครื่งจักร เป็นต้น นอกจากนี้มาตรฐาน ISO ยังให้รายละเอียดของกรอบแนวความคิดสำหรับการปฏิบัติงานร่วมกัน เพื่อนำไปสู่การอ้างอิง หรือสามารถเปรียบเทียบผลขึ้นมาได้ระหว่างผู้ผลิต ผู้บริโภค ผู้ค้า ผู้ส่งมอบแต่ละราย ซึ่งในที่สุดจะช่วยเอื้ออำนวยต่อการส่งเสริมสภาพทางการค้า และการถ่ายโอนเทคโนโลยีได้ต่อไปตามลำดับ ประเภทเครื่องมือ (Instrument): ISO ได้ทำการพัฒนามาตรฐาน/ เครื่องมือบางประเภทที่อาจแสดงความสัมพันธ์ หรือมีความเกี่ยวข้องกับ SR ขึ้นมาอยู่โดยตรง สำหรับตัวอย่างที่พบเห็นกันโดยทั่วไปก็คือ มาตรฐาน ISO 9000 (ระบบการจัดการคุณภาพขององค์การ) มาตรฐาน ISO 14000 (ระบบการจัดการสิ่งแวดล้อมขององค์การ) และยังได้มีการกำหนดรายละเอียดของแผนเชิงกลยุทธ์ขึ้นไว้อย่างชัดเจนในช่วงปี 2005-2010 ทั้งนี้เพื่อต้องการพัฒนาและมุ่งสู่การจัดทำ “มาตรฐานเพื่อการพัฒนาโลกแบบยั่งยืน (Standards for a Sustainable World)” ขึ้นมาในโอกาสข้างหน้าต่อไปอีกด้วย ในปี 2005 องค์การ ISO ได้เริ่มต้นการพัฒนามาตรฐานที่เรียกว่า Social Responsibility Guidance Standard (ISO 26000). เพื่อต้องการกระตุ้น หรือช่วยเหลือทำให้องค์การสามารถดำเนินงานในการจัดตั้ง SR เป็นการเสริมเพิ่มเติมขึ้นมาสำหรับการปฏิบัติงานในลักษณะอื่นๆ ที่ได้กระทำอยู่แล้วในขณะนั้นๆ เป็นประการสำคัญ และทั้งนี้ยังมีวัตถุประสงค์ไม่ต้องการให้การปฏิบัติงานตามมาตรฐานดังกล่าว เป็นไปในแนวทางเพื่อการมุ่งหวังผลสำหรับเรื่องการยื่นขอจดทะเบียนรับรองความเป็นมาตรฐานเท่านั้น และยังคาดหวังว่า รายละเอียดที่มีความสมบูรณ์เช่นนั้น จะทำการตีพิมพ์และเผยแพร่ออกมาเป็นมาตรฐานฉบับนานาชาติได้ภายในปี 2010 เป็นต้นไป |
· กระบวนการพัฒนาเครื่องมือ/ มาตรฐาน (Process of development): องค์การ ISO ทำการพัฒนามาตรฐาน โดยอาศัยการทำงานมาจากผู้เข้าร่วมที่เป็นตัวแทนขององค์การ/ หน่วยงานมาตรฐานประจำชาติต่างๆ เจ้าหน้าที่ภาครัฐบาล ตัวแทนที่เป็นผู้เชี่ยวชาญจากภาคธุรกิจ ภาคแรงาน องค์การผู้บริโภคต่างๆ และผู้สังเกตการณ์ต่างๆ จากทั่วโลกได้เข้ามาประชุมร่วมกัน เพื่อทำการพิจารณารายละเอียดหรือเนื้อหาต่างๆ ที่ปรากฏเป็นองค์ประกอบหลักๆ อยู่ภายในมาตรฐานฉบับที่ต้องการถูกยกร่างเหล่านั้นขึ้นมาโดยตรง และจำเป็นต้องได้รับกระบวนการการฉันทานุมัติหรือยอมรับในรายละเอียดเหล่านี้เป็นประการสุดท้ายอีกด้วย ในทางปฏิบัติมาตรฐานนานาชาติแต่ละฉบับที่จะถูกจัดพิมพ์ หรือสามารถทำการเผยแพร่ออกไปสู่สาธารณชนภายนอกได้ต่อไปตามลำดับ ล้วนมีความต้องการที่จะได้รับการอนุมัติจากผลลงคะแนนเสียง ซึ่งต้องเกิดขึ้นในระดับที่สูงมากกว่า 75% ขึ้นไปจากจำนวนประเทศทั้งหมดที่ปรากฏเป็นสมาชิกขององค์การ ISO อยู่โดยตรงในขณะนั้นๆ · เครื่องมือสามารถทำงานได้อย่างไร (How it works): มาตรฐาน ISO ประกอบด้วยรายละเอียดที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการ หรือกิจกรรมที่องค์การต้องปฏิบัติขึ้นมา เพื่อให้ตอบสนองได้ตรงต่อวัตถุประสงค์ที่กำหนดหรือต้องการไว้เป็นส่วนใหญ่ (เช่น วัตถุประสงค์ด้านคุณภาพ วัตถุประสงค์ด้านสิ่งแวดล้อม และวัตถุประสงค์ด้าน SR เป็นต้น) รายละเอียดของมาตรฐานเหล่านี้ จึงมีวัตถุประสงค์ของความตั้งใจ เพื่อก่อให้เกิดการประยุกต์ใช้ประโยชน์ได้อย่างเหมาะสมในทุกขนาด หรือประเภทขององค์การต่างๆ ที่แพร่กระจายการทำงานอยู่ทั่วโลก และถึงแม้ว่า ลักษณะของผู้นำไปใช้ประโยชน์เหล่านั้น จะแสดงความเกี่ยวข้องอยู่กับภาคเอกชนเป็นส่วนใหญ่ก็ตาม ดังนั้นบางประเภทของเครื่องมือเหล่านี้ จึงมักถูกนิยมนำไปใช้สำหรับการยื่นขอจดทะเบียนรับรอง หรือการได้รับใบประกาศนียบัตรออกมาได้โดยตรง (เช่น มาตรฐาน ISO 9001, ISO 14000) ในขณะที่บางมาตรฐาน อาจมีวัตถุประสงค์ในทางตรงกันข้าม กล่าวคือ เพื่อไม่ต้องการมุ่งหวังผลในเรื่องของการยื่นขอรับรองผลการปฏิบัติงานดังกล่าว ก็สามารถกระทำได้อีกเช่นกัน (เช่น มาตรฐาน ISO 26000) · การเชื่อมโยงของเครื่องมือเข้ากับภาค/ ส่วนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง (Links): รายละเอียดของเครื่องมือ/ มาตรฐานต่างๆ ที่ถูกจัดทำขึ้นมาจากองค์การ ISO ปรากฏเป็นผลเป็นที่ยอมรับในการใช้ประโยชน์ หรือถูกอ้างอิงถึงจากการประชุมสุดยอดผู้นำระดับโลกของ UN ในปี 2002 ซึ่งเกี่ยวข้องกับการพัฒนาแบบยั่งยืน นอกจากนี้ยังได้รับความร่วมมือสำหรับการปฏิบัติงานในแต่ละครั้งจากหน่วยงานต่างๆ ของ UN ซึ่งครอบคลุมไปถึง UNCTAD และ UNIDO อีกด้วย |
ในมุมมองของผู้เขียนเห็นว่า รายละเอียดของเครื่องมือ/ มาตรฐาน ISO/SR 26000 ดังกล่าว ประกอบไปด้วยจุดแข็ง จุดอ่อน และศักยภาพสำหรับการแสดงคุณค่าที่เป็นประโยชน์ออกมา ดังนี้ 1). จุดแข็ง (Strengths): - ปรากฏมุมมองอยู่ในระดับโลก ได้รับการยอมรับนับถือ และการนำไปใช้ประโยชน์เป็นไปในขอบเขตที่กว้างขวางมาก - มีการเข้าร่วมในการปฏิบัติงานสำหรับการยกร่างมาตรฐาน หรือถูกสนับสนุนขึ้นมาจากประเทศกำลังพัฒนาเป็นส่วนใหญ่ - มาตรฐานมีสถานะที่ประกอบไปด้วยความชำนาญการของผู้ยกร่างที่เป็นผู้เชี่ยวชาญในสาขาต่างๆ และต้องผ่านการออกเสียงลงมติยอมรับในความเป็นมาตรฐานเหล่านั้นอีกร่วมด้วย - แสดงรายละเอียดที่มีลักษณะความสอดคล้องเข้าด้วยกันได้เป็นอย่างดีกับกฎหมายประจำชาติ และระดับนานาชาติ - เป็นเครื่องมือที่มีศักยภาพประการหนึ่งต่อการช่วยยกระดับ หรือสามารถปรับปรุงผลการปฏิบัติงานด้าน SR ขึ้นมาได้โดยตรง 2). จุดอ่อน (Weakness): - มีคำถามเกิดขึ้นเกี่ยวกับค่าใช้จ่าย และมูลค่าบางประการที่ต้องจ่ายเงินออกไปสำหรับในกรณีที่มีการร้องขอ หรือเป็นการยื่นเพื่อขอจดทะเบียนรับรองมาตรฐาน เป็นต้น - ยังมีข้อจำกัดของการเข้ามามีส่วนร่วมจากตัวแทนในภาค/ ส่วนต่างๆ อีกร่วมด้วย เช่น จากภาคสิ่งแวดล้อม และ NGO เป็นต้น - มีลักษณะเป็นรูปแบบทางธุรกิจเป็นส่วนใหญ่ ผู้ใช้ประโยชน์จำเป็นต้องเสียค่าใช้จ่ายสำหรับการซื้อรายละเอียดของมาตรฐาน ISO เพื่อนำมาใช้ประโยชน์ได้ต่อไป หรือในกรณีของการปฏิบัติสิ่งอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น การยื่นขอจดทะเบียนรับรอง ก็ต้องเสียค่าใช้จ่ายอีกเช่นกัน เป็นต้น - บางครั้งยังขาดประสบการณ์ หรือการมีองค์ความรู้ที่ทันสมัยเพิ่มเติมขึ้นมาภายใต้แนวทางการปฏิบัติงานตามขอบเขตใหม่ด้าน SR 3). ศักยภาพ (Potential) สำหรับการแสดงคุณค่าที่เป็นประโยชน์ของเครื่องมือ: - มีความคาดหวังว่า การใช้ข้อแนะนำจากรายละเอียดของมาตรฐาน ISO/SR 26000 ที่ถูกพัฒนาขึ้นมาดังกล่าว จะปรากฏศักยภาพของการเป็นเครื่องมือประการหนึ่งที่แสดงผลดีขึ้นมาได้ โดยจะทำหน้าที่เสริม หรือมีส่วนต่อการช่วยเหลือสนับสนุนการปฏิบัติงานอื่นๆ ตามรายละเอียดมาตรฐาน ISO 9000 และ ISO 14000 ที่องค์การดำเนินการปฏิบัติอยู่ร่วมด้วยแล้วในขณะนั้นๆ จึงเท่ากับเป็นการเติมเต็มช่องว่างของการปฏิบัติให้กับผู้ใช้ประโยชน์จากมาตรฐานได้เป็นอย่างดี และในที่สุดจะสามารถยกระดับผลความมีชื่อเสียงของการทำงานด้าน SR ขององค์การได้เกือบทุกประเภทที่เกี่ยวข้องทั้งภาคธุรกิจ ภาครัฐบาล และภาค PCOs เป็นต้น - เป็นเครื่องมือที่แสดงรายละเอียดครอบคลุมถึงบรรทัดฐานด้าน SR ต่างๆ และยังปรากฏลักษณะของการเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพสำหรับการบริหารงานองค์การต่างๆ ได้เป็นอย่างดี |
จากรายงานการสำรวจของธนาคารโลก/ IFC ที่ดำเนินการขึ้นมาในปี 2003 เพื่อสำรวจความคิดเห็นจากจำนวน 107 รายชื่อบริษัท ได้ระบุผลออกมาอย่างชัดเจนประการหนึ่งว่า ประมาณ 46% ของผู้ตอบรายละเอียดทั้งหมด ได้ระบุถึงความสำคัญของเครื่องมือ/ มาตรฐาน ISO 14000 นั้น ปรากฏผลมีความสำคัญเป็นลำดับแรก สำหรับการถูกยอมรับในลักษณะที่ว่า เป็นเครื่องมือที่มีความเหมาะสมสำหรับการนำไปใช้ประโยชน์ทางธุรกิจในระดับโลกได้ต่อไป |
4.4 Global Reporting Initiative (GRI) 21· สถาบัน/ หน่วยงาน (Institution): GRI เป็นองค์การระดับนาชาติที่ทำหน้าที่เป็นอิสระ และไม่แสวงในการค้ากำไร (Non-profit organization) โดยมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่อัมเสตอร์ดัม ประเศเนเธอร์แลนด์ นอกจากนี้องค์การดังกล่าว ยังประกอบด้วยกลุ่มคณะทำงานที่สำคัญ และปรากฏสภาพเป็นตัวแทนที่มาจากภาค/ ส่วนต่างๆ กันของ Stakeholders เช่น สภา Stakeholder (Stakeholder Council) คณะกรรมการที่ปรึกษาด้านเทคนิค (Technical Advisory Committee) และสำนักเลขาธิการ (Secretariat) ซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบต่อการจัดการ/ บริหารองค์การตามหลักธรรมาภิบาล และมีส่วนต่อการพัฒนา หรือกำหนดยกร่างรายละเอียดข้อแนะนำสำคัญออกมาที่เรียกว่า GRI's Sustainability Reporting Guidelines ประเภทเครื่องมือ (Instrument): ภารกิจที่สำคัญของ GRI คือ การพัฒนาและการเผยแพร่รายละเอียดของข้อแนะนำที่ผ่านการยอมรับอย่างเป็นทางการแล้วนั้น เพื่อมุ่งสู่สำหรับการนำไปใช้ประโยชน์ได้ต่อไปภายในองค์การแต่ละแห่ง โดยเฉพาะรายละเอียดของ Sustainability Reporting Guidelines ดังกล่าว จะช่วยชี้แจงให้องค์การ ซึ่งทำหน้าที่เป็น “ผู้ใช้ประโยชน์ (End-users)” จากข้อแนะนำเช่นนั้น ได้มีความเข้าใจถึงรายละเอียดความหมายที่แท้จริงของคำว่า “การพัฒนาแบบยั่งยืน” มีลักษณะเป็นอย่างไร ในทางปฏิบัติจะสามารถกำหนดหรือระบุผลออกมาได้อย่างไรภายใต้มุมมองของ Stakeholders ที่เกี่ยวข้องอยู่ร่วมด้วย และประการสำคัญคือ จะทำการวัดผล และ/หรือมีการจัดทำออกมาเป็น “รายงานเพื่อการพัฒนาแบบยั่งยืน” ฉบับสมบูรณ์ขึ้นมาได้อย่างไร เป็นต้น เพราะฉะนั้นข้อแนะนำดังกล่าว จึงประกอบไปด้วยรายละเอียดของหลักการ และ “ตัวชี้บ่ง (Indicators)” ประเภทต่างๆ ซึ่งสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้กับองค์การทุกประเภท เพื่อมุ่งเน้นการวัดผลและการรายงานผลการปฏิบัติงานทั้งหลาย ที่เกี่ยวข้องทางเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และสังคม ซึ่งปรากฏเป็นผลสืบเนื่องที่เกิดขึ้นมาจากการปฏิบัติกิจกรรม การผลิตสินค้าหรือให้บริการขององค์การแห่งนั้นเป็นส่วนใหญ่ ส่วนรายละเอียดอื่นๆ เพิ่มเติมที่อยู่นอกเหนืออกไปจากข้อแนะนำของ GRI แล้วนั้น ซึ่งเรียกว่า Sector Supplement ยังมีการระบุถึง ตัวชี้บ่งบางประเภทที่ถูกกำหนดขึ้นมา เพื่อแสดงให้เห็นถึงความเหมาะสมเข้ากับการประกอบธุรกิจในแต่ละภาค/ ส่วนที่มีลักษณะความจำเพาะเจาะจงอีกด้วย เช่น จากภาคยานยนตร์ การเงิน โทรคมนาคม ฯลฯ ทั้งนี้โดยทั่วไปแล้ว เครื่องมือ GRI มีความยินยอมให้สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ด้วยความสมัครใจเป็นหลัก และไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ เกิดขึ้นมาทั้งสิ้น |
· กระบวนการพัฒนาเครื่องมือ (Process of development): เมื่อแรกเริ่มถือกำเนิดขึ้นมาในปี 1977 GRI ได้จัดทำโครงการที่ถือเป็น “สิ่งริเริม” ร่วมกับ UNEP และจากความร่วมมือของภาค NGO ที่สำคัญของประเทศสหรัฐอมริกา คือ Coalition for Environmentally-Responsible Economics ในปัจจุบันรายละเอียดของข้อแนะนำ GRI มีการพัฒนาและถูกยกร่าง โดยอาศัยกระบวนการทำงานที่มาจากตัวแทนของภาค Stakeholders ต่างๆ กัน เช่น จากภาคธุรกิจ การลงทุน แรงงาน ภาควิชาการ และชุมชนของ NGO ต่างๆ ที่กระจายตัวอยู่ทั่วโลก และในระยะต่อมา GRI จึงได้ดำเนินการในสภาพที่เป็นองค์การอิสระด้วยตนเองในปี 2002 และผลการปฏิบัติงานของข้อแนะนำดังกล่าว ได้ถูกยอมรับผลขึ้นมาจากการประชุมสุดยอดผู้นำโลกที่ว่าด้วยการพัฒนาแบบยั่งยืน (UN World Summit on Sustainable Development; WSSD) ของ UN อีกด้วย · เครื่องมือสามารถทำงานได้อย่างไร (How it works): GRI มีลักษณะที่เป็นเครื่องมือทั้งประเภทกระบวนการ (Process) และผลิตภัณฑ์ (Product) อยู่โดยตรง กล่าวคือ ในด้านกระบวนการ กรอบแนวทางของการปฏิบัติส่วนใหญ่จะแสดงความเกี่ยวข้องกับการนำผลจากกลุ่ม Stakeholders ต่างๆ เข้ามาพิจาณาร่วมกันถึงผลประโยชน์ที่ควรได้รับ โดยคำนึงถึงความคาดหวังในเรื่องของการพัฒนาแบบยั่งยืนให้เกิดผลอย่างสมบูรณ์ขึ้นมาเป็นประการสำคัญ แต่ในขณะที่ GRI มีสภาพเป็นผลิตภัณฑ์นั้น รายละเอียดของข้อแนะนำดังกล่าว จะมุ่งเน้นลงไปในเรื่องของการปฏิบัติงาน เพื่อให้สอดคล้องเป็นไปตรงตามหลักการที่กำหนดไว้ รวมถึงองค์การแห่งนั้น จะสามารถทำการวัดผลการทำงานด้วยตัวชี้บ่งต่างๆ ได้อย่างไร รวมถึงต้องมีการเปิดเผยรายงานข้อมูลเหล่านั้น ทั้งทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมที่เกี่ยวข้องกับองค์การออกมาอย่างชัดเจนอีกร่วมด้วยเสมอ รายละเอียดทั้งในส่วนที่เป็น GRI Guidelines และ Sector Supplements มีการทบทวน และแก้ไขเปลี่ยนแปลง เพื่อให้มีความเหมาะสมสอดคล้องเป็นไปตามช่วงระยะเวลาหนึ่งๆ ในเดือนตุลาคม ปี 2006 GRI ได้ทำการปรับปรุงรายละเอียดข้อแนะนำฉบับใหม่ขึ้นมาที่เรียกว่า G3 Revision (Third Generation) ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องมาจากการปรับปรุงฉบับดั้งเดิม หรือ G2 (จากปี 2000) ในปัจจุบันมีจำนวนผู้ใช้ประโยชน์จากข้อแนะนำของ GRI Guidelines อยู่ประมาณ 750 รายชื่อ และปรากฏเป็นบริษัทขนาดใหญ่ที่ประกอบธุรกิจอยู่ในประเทศญี่ปุ่น สหภาพยุโรป และอเมริกาเหนือ เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีการให้รายละเอียดเพิ่มเติมขึ้นมาสำหรับการเป็นข้อแนะนำพิเศษ (Special guidance) สำหรับองค์การ/ ผู้ประกอบการที่มีลักษณะเป็นวิสาหกิจประเภทขนาดกลาง และขนาดเล็กอีกด้วย · การเชื่อมโยงของเครื่องมือเข้ากับภาค/ ส่วนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง (Links): รายละเอียดของเครื่องมือ/ ข้อแนะนำดังกล่าว มีการระบุหรืออ้างอิงถึงรายละเอียดที่ปรากฏออกมาเป็นสิ่งริเริ่ม หรือบรรทัดฐานระดับนานาชาติอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งได้รับขึ้นมาจากผลการประชุมขององค์การ ILO และ OECD Guidelines รวมถึงยังแสดผลที่ดีต่อการเกื้อหนุนเข้ากับรายละเอียดของ Global Compact เป็นสำคัญ นอกจากนี้ GRI ยังแสดงผลของความร่วมมือเข้ากันอย่างเป็นทางการกับหน่วยงานอื่นๆ ของ UN เช่น UNEP ซึ่งมีความเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดตามที่ระบุไว้ภายในแผนงานของ WSSD Plan of Implementation ตามลำดับ |
ในมุมมองของผู้เขียนเห็นว่า รายละเอียดของเครื่องมือ/ ข้อแนะนำดังกล่าว ประกอบไปด้วยจุดแข็ง จุดอ่อน และศักยภาพสำหรับการแสดงคุณค่าที่เป็นประโยชน์ออกมาของเครื่องมือ ดังนี้ 1). จุดแข็ง (Strengths): - มีการจัดทำเพื่อเป็นครื่องมือออกมา โดยอาศัยยึดถืออยู่บนพื้นฐานของแนวความคิดในเรื่องความเป็นสากลระดับนานาชาติ การยินยอมให้เข้ามามีส่วนร่วมจากความหลากหลายของกลุ่ม Stakeholders ต่างๆ (Multi-stakeholder) และการยอมรับในฉันทามติเพื่อความเห็นชอบร่วมกันเป็นส่วนใหญ่ (Consensus-based approach) เป็นต้น - มีการนำไปใช้ประโยชน์ โดยอาศัยเป็นแนวทางของการปฏิบัติ (Guidelines) สำหรับองค์การธุรกิจขนาดใหญ่ และจากธนาคารโลก (World Bank) อีกด้วย - มีการจัดทำเป็นรายงานออกมา โดยอาศัยพื้นฐานของการแสดงด้วยความยินยอมสมัครใจ และสามารถทำการทวนสอบรายละเอียดผลการปฏิบัติงานได้จาก “ตัวชี้บ่ง (Indicators)” ต่างๆ ที่ถูกกำหนดให้ไว้อยู่ภายในรายงานฉบับดังกล่าวได้โดยตรง - มีการถูกยอมรับผลขึ้นมาจาก UN หรือวงการวิชาขีพด้านบัญชีและการตรวจติตามภายในองค์การ - มีอิทธิพลและขอบเขตเป็นไปอย่างกว้างขวางมาก ต่อการช่วยกระตุ้นทำให้องค์การต้องคำนึงถึงหรือตระหนักต่อการพัฒนาแบบยั่งยืนเป็นผลที่เพิ่มมากขึ้นได้ - แสดงบทบาทของความเป็น “สิ่งริเริ่ม” ที่สำคัญขึ้นมา โดยเฉพาะเพื่อมุ่งเน้นให้เกิดการสร้าง หรือจัดทำออกมาเป็น “รายงานเพื่อความยั่งยืน (Sustainability reporting)” ซึ่งสามารถนำไปใช้ประโยชน์เพื่อเปรียบเทียบผลความสอดคล้องในระดับองค์การ หรือในระดับโลกได้เป็นอย่างดี 2). จุดอ่อน (Weakness): - มีข้อจำกัดต่อการนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างเหมาะสมเข้ากับองค์การ/ หน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่ทางสาธารณะ และ/หรือองค์การที่ไม่แสวงหากำไร (Non-profit organizations) เป็นต้น - มีข้อจำกัดในเรื่องการได้รับแหล่งทุนสนับสนุนเพิ่มเติมด้านการเงินขึ้นมาจากหน่วยงาน/ องค์การภายนอก หรือภาครัฐบาล - มีการถูกนำไปใช้ประโยชน์เป็นจำนวนที่น้อยมากสำหรับกลุ่มประเทศที่กำลังพัฒนาทั้งหลาย - ประกอบไปด้วย “ตัวชี้บ่งด้านคุณภาพ (Qualitative indicators)” ที่พบเห็นอยู่เป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะเมื่อต้องการใช้ประโยชน์จากตัวชี้บ่งที่เกี่ยวข้องกับทางสังคม และสิทธิมนุษยชน เป็นต้น 3). ศักยภาพ (Potential) สำหรับการแสดงคุณค่าที่เป็นประโยชน์ของเครื่องมือ: - ถูกใช้ประโยชน์ เพื่อปรากฏเป็นข้อมูลพื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับการจัดทำรายงาน SR ออกมาโดยตรงสำหรับองค์การแต่ละแห่ง - ได้รับการยอมรับในลักษณะของการเป็น “เครื่องมือที่ไม่ใช่เครื่องชี้บ่งทางการเงิน (Non-financial equivalent)” ว่า มีผลความสอดคล้องเป็นไปตรงตามรายละเอียดหลักการของสมาคมวิชาชีพนักบัญชีที่เรียกว่า International Generally Accepted Accounting Principles (GAAP) เป็นสำคัญ |
5. ตัวอย่างการใช้ประโยชน์จากเครื่องมือ SR: กรณีศึกษาและประสบการณ์ของประเทศคานาดา (SR Instrument use: The Canadian experiences)
จากผลการศึกษาของภาครัฐบาล ประเทศคานาดา ในปี 2004 เกี่ยวกับความเหมาะสมและเป็นไปได้ของการใช้ประโยชน์จากเครื่องมือ SR ทั้ง 4 ประเภท (OECD MNE Guideline, Global Compact, ISO 9001:2000/ ISO 14001 และ GRI) สำหรับวงการอุตสาหกรรม และบริษัททั่วๆ ไปภายในประเทศ ปรากฏรายละเอียดที่น่าสนใจเกิดขึ้นร่วมด้วย ดังนี้ 22/
· ความเป็นไปได้สำหรับการใช้ประโยชน์จากเครื่องมือ ในลักษณะที่ผสมผสานเข้าด้วยกันทั้ง 4 ประเภท (Use of multiple instruments): เมื่อเปรียบเทียบกับสถานการณ์ในรอบ 10 ปี ที่ผ่านมา ในปัจจุบันองค์การที่อยู่ภายในประเทศคานาดาส่วนใหญ่ มีการตัดสินใจ และเลือกนำเครื่องมือ SR ที่ปรากฏเป็นแนวทางปฏิบัติ (Guideline) หรือข้อแนะนำ (Guidance) ต่างๆ เข้ามาใช้กำกับ หรือนำไปสู่การปฏิบัติงานด้าน SR ที่เพิ่มขึ้นมากกว่าสภาพดั้งเดิม จนเห็นผลออกมาได้อย่างชัดเจน โดยเฉพาะบริษัทที่มีขนาดใหญ่ จะเลือกใช้รูปแบบผสมจากเครื่องมือ SR หลายประเภท เข้ามาปฏิบัติงานร่วมกันทั้ง Global Compact, OECD MNE Guidelines, GRI Guidelines และมาตรฐาน ISO อยู่เป็นสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นมากกว่าองค์การขนาดเล็กแทบทั้งสิ้น
· ลักษณะของการแพร่กระจาย และการถูกยอมรับนับถือสำหรับ ISO เป็นไปอย่างกว้างขวางทั่วไป (ISO Widespread): จะพบได้อย่างชัดเจนอีกว่า มาตรฐานระบบการจัดการ ISO ได้ถูกยอมรับในด้านการนำไปใช้ปฏิบัติงานกันเป็นขอบเขตที่กว้างขวางมากกว่าเครื่องมือ SR อื่นๆ ทั้ง 4 ประเภท กล่าวคือ ในปี 2006 มีบริษัทคานาดา ในจำนวนมากกว่า 13,000 แห่ง ที่เป็นผู้ใช้ประโยชน์จากทั้งมาตรฐาน ISO 9001:2000 และ ISO 14001 ซึ่งอาจสืบเนื่องเหตุผลมาจากมาตรฐานดังกล่าว มีการพัฒนาติดต่อกันมาเป็นระเวลาที่ยาวนานมาก จนกระทั่งส่งผลทำให้ได้รับการยอมรับในระดับโลกได้เป็นอย่างดี เพราะฉะนั้นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวอย่างของประเทศคานาดาเช่นนี้ ย่อมปราฏเป็น “กระจกหรือเครื่องสะท้อน” ชี้ให้เห็นถึงภาพออกมาถึงคุณลักษณะของมาตรฐาน ISO นั้น ถูกจัดเป็นเครื่องมือที่ถูกใช้ประโยชน์ขึ้นมามากที่สุดเป็นลำดับแรก เมื่อเปรียบเทียบกับเครื่องมือ SR ทั้ง 4 ประเภท (พิจารณารายละเอียดในตารางข้างล่างนี้ประกอบด้วยจากรายงานของ 2004 CSR Monitor Report)
เครื่องมือ | จำนวนผู้ใช้ประโยชน์ในระดับโลก (ราย) | จำนวนประเทศทั้งหมด | จำนวนผู้ใช้ประโยชน์ในคานาดา (ราย) | สัดส่วนของคานาดา/ โลก (%) |
ISO a) 9001: 2000 b) 14001 | 500,125 66,070 | 149 113 | 11,759 1,274 | 2.35% 1.9% |
GRI | 750 | 52 | 25 | 3.33% |
Global Compact | 2,208 | 86 | 27 | 1.22% |
OECD MNE Guidelines | Not available (N/A) | N/A | N/A | N/A |
· ลักษณะที่จำกัดของการใช้ประโยชน์จาก GC, GRI และ OECD Guidelines: จากผลของการศึกษาในเบื้องต้น ได้ระบุผลออกมาเพิ่มเติมอีกเช่นกันว่า เมื่อพิจารณาถึงลักษณะของการใช้ประโยชน์ในระดับโลกหรือระดับนานาชาติ เครื่องมือประเภท GC และ GRI Guideline มีผู้นำไปใช้ประโยชน์กันในระดับที่ต่ำมากเพียง 45 แห่งขององค์การภายในประเทศคานาดา และส่วนใหญ่มีสภาพเป็นองค์การทางธุรกิจแทบทั้งสิ้น ส่วนองค์การ/ หน่วยงานอื่นๆ ของภาครัฐบาล และองค์การ PCOs กลับมีสัดส่วนที่ต่ำมากอีกเช่นกันสำหรับการเลือกใช้ประโยชน์จากเครื่องมือ SR ประเภทอื่นๆ
· การใช้ประโยชน์จากเครื่องมือ SR ส่วนใหญ่ยังคงมีสภาพเกี่ยวข้องอยู่กับองค์การธุรกิจขนาดใหญ่ (Large Business Dominant): สมาชิก/ ผู้ใช้ประโยชน์จาก GC และ GRI Guidelines ยังคงมีแนวโน้มเป็นบริษัทขนาดใหญ่ที่ประกอบไปด้วยชื่อเสียงที่ดี หรืออาจปฏิบัติงานอยู่ในลักษณะที่เป็นวิสาหกิจข้ามชาติในระดับนานาชาติก็ได้อีกเช่นเดียวกัน ขอยกตัวอย่างสำหรับบริษัทที่เลือกใช้ประโยชน์จาก GC ได้แก่ Barrick Gold, Hudson's Bay และ Schneider Power ส่วนผู้ใช้ประโยชน์จาก GRI มีลักษณะเป็นบริษัทที่เกี่ยวข้องกับภาคพลังงานหรือการเงิน ซึ่งครอบคลุมบริษัทที่สำคัญ คือ BC Hydro, Royal Bank of Canada, Shell Canada, Suncor, TransAlta และ Van City Credit Union นอกจากนี้เครื่องมือทั้ง 2 ประเภทดังกล่าว ยังนิยมนำไปใช้ประโยชน์กันภายในบริษัทที่สำคัญเหล่านี้อีกด้วย ได้แก่ Alcan, Enbridge, Hydro Quebec, Nexen, Petro-Canada, Placer Dome และ Talisman Energy เป็นต้น
6. บทสรุป (Conclusion)
รายละเอียดหรือบริบทของ “แนวความคิดพื้นฐานด้าน SR” มีจุดกำเนิด และวิวัฒนาการติดต่อสืบเนื่องกันมาเป็นระยะเวลาที่ยาวนานจนถึงปัจจุบัน โดยสามารถจำแนกออกมาเป็น “ปรากฏการณ์” หรือเป็นสิ่งที่ต้องคำนึงถึงอยู่ 2 ประการด้วยกัน คือ ประการแรกคือ การมุ่งเน้นรายละเอียดลงไปในเรื่องการปรากฏสภาพออกมาเป็น “สิ่งริเริ่มด้วยความสมัครใจ” “บรรทัดฐานที่สมควรปฏิบัติต่างๆ ทั้งในระดับนานาชาติและระดับประเทศ” และ “เครื่องมือด้าน SR” อีกมากมายด้วยกัน ส่วนประการที่สอง จะมุ่งเน้นการการกระทำหรือการปฏิบัติ SR ในลักษณะต่างๆ ขึ้นมา เพื่อแสดงผลของความรับผิดชอบออกมาโดยตรง ไม่ว่าจะเป็นอำนาจหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติสำหรับ “องค์การ/ หน่วยงานภาครัฐ” “ภาคเอกชน” หรือ “ภาคประชาสังคม” ก็ตาม ซึ่งในที่สุดแนวความคิด SR ดังกล่าว จะช่วยกระตุ้นทำให้องค์การแต่ละแห่ง ต้องหันมาพิจารณาตนเองว่า มีการปฏิบัติงานเป็นไปตรงตามรายละเอียดของเครื่องมือ SRเหล่านี้ ปรากฏผลออกมาเป็นระดับความสอดคล้องเกิดขึ้นมากหรือน้อยเพียงใด เป็นต้น
ในรายละเอียดที่ถูกพิจารณาในลำดับต่อมาก็คือ ในมุมมองที่เกี่ยวข้องกับการใช้ประโยชน์จากเครื่องมือ SR ต่างๆ ทั้ง 4 ประเภท คือ
· แนวทางการปฏิบัติสำหรับวิสาหกิจข้ามชาติของ OECD (OECD Guidelines for Multinational Enterprises; MNES)
· การรวมกันเป็นกลุ่มก้อนในระดับโลก (Global Compact; GC) ซึ่งถูกพัฒนาขึ้นมาภายใต้การอนุเคราะห์จากสำนักงานใหญ่ของเลขาธิการองค์การสหประชาชาติ
· มาตรฐาน ISO/SR 26000 ที่ปรากฏเป็นข้อแนะนำสำหรับการปฏิบัติงานด้าน SR ที่ถูกจัดทำ หรือผ่านการยกร่างขึ้นมาโดยองค์การ ISO และกำลังอยู่ในช่วงของการพัฒนาให้เป็นมาตรฐานระดับนานาชาติได้ต่อไป และ
· การรายงานผลความยั่งยืนตามข้อแนะนำของ GRI (Global Reporting Initiative Sustainability Reporting Guidelines) เป็นต้น
ทั้งนี้ด้วยวัตถุประสงค์ เพื่อต้องการแสดงผลของความรับผิดชอบสำหรับองค์การแต่ละแห่งออกมาอย่างชัดเจนนั้น รายละเอียดต่างๆ ของความเหมาะสมในเครื่องมือ SR เหล่านี้ ได้ถูกอธิบายไว้เป็นเนื้อหาอยู่ภายในบทอย่างชัดเจนแล้ว
สำหรับแนวทางการเลือกใช้ประโยชน์จากเครื่องมือ SR ดังกล่าว ได้อย่างเหมาะสมเข้ากับองค์การต่างๆ ได้ต่อไปตามลำดับ ขอยกรายละเอียดบางประการประกอบเพิ่มเติมขึ้นมาร่วมด้วย เช่น เพื่อต้องการตอบคำถามที่ว่า “องค์การมีความคาดหวังอะไรขึ้นมา เพื่อต้องการให้เห็นผลออกมาเป็นรูปธรรม” และ “องค์การสมควรจะกระทำได้อย่างไร” นั้น คำตอบที่เหมาะสมมากที่สุดก็คือ การใช้ประโยชน์จาก GC และ OECD MNE Guideline ย่อมเป็นข้อแนะนำที่เหมาะสมกับองค์การ เพื่อต้องการมุ่งเน้นในเรื่องของการสร้าง “บรรทัดฐานเชิงรูปธรรม (Substantives norms)” ขึ้นมาเป็นสำคัญ แต่ในขณะที่องค์การมีการตั้งคำถามเสริมอีกเช่นกันว่า “แล้วองค์การจะปฏิบัติงานด้าน SR ขึ้นมาได้เป็นขั้นตอนอย่างไร” รายละเอียดของคำตอบที่เหมาะสมก็คือ การใช้ประโยชน์จากมาตรฐานระบบการจ้ดการ ISO ซึ่งมุ่งเน้นลงไปในเรื่องการจัดตั้ง หรือการมีกิจกรรมปฏิบัติต่างๆ ขึ้นมาเสริมประกอบร่วมด้วย หรือการใช้ประโยชน์จาก GRI Guideline ซึ่งปรากฏเป็นรายละเอียดข้อแนะนำของหลักการที่ควรปฏิบัติ และมีการกำหนดตัวชี้บ่งต่างๆ ในลักษณะที่เหมาะสมขึ้นมา เพื่อนำไปสู่การจัดทำออกมาเป็นรายงานฉบับสมบูรณ์ต่อไปเช่นนั้น ดูจะเป็นสิ่งที่ควรปฏิบัติต่อไปสำหรับองค์การแห่งนั้น ที่มีความต้องการจะมุ่งหวัง เพื่อแสดงผลของการพัฒนาด้าน SR ขึ้นมาอย่างเป็นรูปธรรมได้ต่อไปตามลำดับ
นอกเหนือออกไปจากการใช้ประโยชน์จากเครื่องมือ SR แต่ละประเภทเช่นนี้ องค์การยังสามารถทำการตัดสินใจ เพื่อเลือกใช้ประโยชน์จากเครื่องมือประเภทใดประเภทหนึ่งเป็นไปในแนวทางที่เป็นอิสระด้วยตัวเองแล้วนั้น ในบางครั้งองค์การก็สามารถทำการเพิ่มเติมคุณค่าของการปฏบัติงานด้าน SR ให้ยกระดับเพิ่มสูงขึ้นมาจากเดิมได้ โดยอาศัยการบูรณาการเครื่องมือหลัก SR ทั้ง 4 ประเภทเข้าด้วยกันทั้งหมด ก็สามารถปฏิบัติได้ ทั้งนี้เพื่อต้องการให้บรรลุถึงความสำเร็จของการดำเนินงานด้าน SR ขึ้นมาภายในองค์การแห่งนั้นเป็นประการสำคัญ
XXXXXXXXX
ข้อมูลอ้างอิง (References)
I. จุดกำเนิด และประวัติความเป็นมาของ SR (SR origins and background)
1. BSR. 2008. Business for social responsibility. Available (Online) at: www.bsr.org/
2. Industry Canada . 2008. Corporate social responsibility. Available (Online) at: www.ic.gc.ca/ epic/site/csr-rse.nsf/en/Home
II. หลักการ แนวทางปฏิบัติ และประเด็นด้าน SR (SR principles, guideline and issues)
3. OECD. 2008. OECD Guidelines for Multinational Enterprises. Available (Online) at: www.oecd.org/daf/investment/guidelines
4. Caux Round Table. 2003. International Labor Organization: Tripartite declaration of principle concerning multinational enterprises and social policy. Available (Online) at: www. cauxroundtable.org/
5. Information Habitat: Where Information Lives. 2008. Agenda 21: Table of contents. Earth Summit , 1992. Available (Online) at: habitat.igc.org/agenda21/
6. Global Issues. 2008. World Summit on Sustainable development. Available (Online) at: www. globalissues.org/article/366
7. Kolk, Ans. 2008. Trends in sustainability reporting by the Fortune Global 250. Available (Online) at: www_interscience.wiley.com/journal/
8. Shah, Anup. 2007. Corporate social responsibility. Global issues: Social, political, economic and environmental issues that affect us all. Available (Online) at: www.globalissues.org/ article/723/corporate-social-responsibility
III. เครื่องมือ SR (SR Instruments)
9. Hohen, Paul. 2005. Social responsibility instruments: Building the global architecture for the 21st century. Available (Online) at: www.ic.gc.ca/epic/site/csr-rsc.nsf/
· เครื่องมือประเภทที่แสดงถึงบรรทัดฐานในเชิงรูปธรรมจากภาครัฐบาล (Governmental substantive norm instruments)
10. Leipziger, Deborah. 2003. The corporate responsibility code book. Available (Online) at: www.greenleaf-publishing.com/
11. Industry Canada . 2008. Corporate social responsibility. 3. SR instrument framework. Available (Online) at: www.ic.gc.ca/ epic/site/csr-rse.nsf/
12. Wikipedia. 2008. Sub-Commission on the Promotion and Protection of Human Rights. Available (Online) at: en/wikipedia/wiki/Sub_Commission_on_the_Promotion_and_Protection_of_Human_ Rights
· เครื่องมือประเภทที่มาจากภาคเอกชน และภาคประชาสังคม (Private Sector and Civil Society Instruments)
13. NFRCSR (Non-Financial Reporting and CSR) Resource Center . 2008. International section. CSR instrument. Available (Online) at: www.nfrcsr.org/international/csr_instruments/
14. Industry Canada . 2008. CSR. Appendix 4. Non-governmental CSR-related codes and standards initiatives. Available (Online) at: www.ic.gc.ca/epic/site/csr-rse.nsf/en/ rs00144e.html
15. European Communities. 2003. Mapping instruments for corporate social responsibility. Available (Online) at: www.bmsk.gv.at/ems/site/attachments
16. OECD. 2008. OECD-ILO Conference on corporate social responsibility. Overview of selected initiatives and instruments relevant to corporate social responsibility. Available (Online) at: www.oecd/dataoecd/18/56/40889288.pdf
IV. เครื่องมือหลัก SR (Key SR Instruments)
17. Industry Canada . 2008. Appendix 3. Key international CSR instruments. Available (Online) at: www.ic.gc.ca/epic/site/csr-rse.nsf/en/rs00143e.html
18. Gordon, Kathryn. 2001. The OECD Guidelines and other corporate responsibility instruments: A comparison. Available (Online) at: ideas.rcpec.org/p/dafaaa/2001-5-en.html
19. UN Global Compact. 2008. Available (Online) at: www.unglobalcompact.org
20. ISO. 2008. Social responsibility. About ISO SR. Available (Online) at: isotc.iso.org/livelink/ fetch/
21. GRI. 2008. Global Reporting Initiative. Available (Online) at: www.globalreporting.org/
22. Industry Canada . 2008. Corporate social responsibility monitor 2004 report. Available (Online) at: www.ic.gc.ca/epic/site/csr-rse.nsf/en/rs00123e.html
XXXXXXXXX
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น